รีวิว lost in space
นับเป็นซีรี่ย์ที่หลาย ๆ คนต่างพูดเป็นเสียง ๆ ซีรี่ย์แนะนำ เดียวกันหลังรับชมจบ สำหรับ lost in space แต่.. ไม่ไช่ว่าหนังไม่ดีนะครับ สปอยซีรี่ย์ แต่เพราะว่าซี่รี่ย์เรื่องนี้สนุกมาก แต่ทำตอนมาน้อยไป -.- ใช่ครับฟังไม่ผิดแน่นอน เนื่องจากซีรีส์ไซไฟที่สร้างโดย Netflix เรื่องนี้นั้น ดูหนังออนไลน์ เกินคาดมาก ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แกะกล่องแต่เป็นการนำซีรีส์เก่าแก่กลับมาปัดฝุ่นทำใหม่ ดูหนังฟรี จากปี 1965 ในชื่อเดียวกัน และหนังที่เข้าโรงฉายเมื่อปี 1998 แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์จนต้องหยุดโปรเจ็กต์นี้ไป และได้กลับมาอีกครั้งใน Netflix รีวิว Lost In Space
รีวิว lost in space
รีวิวlost in space อย่างแรกที่เราจะได้เห็นคือคุณภาพการถ่ายทำ lost in space season 1 พากย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพภาพ มุมกล้อง บทตัวละคร รวมถึงสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คที่ทำออกมาได้ดี ดีกว่าหนังไซไฟหลาย ๆ เรื่องด้วยซ้ำครับ โดยเฉพาะชุดอวกาศที่ดูเข้ากับเนื้อเรื่อง เนื่องจากมนุษย์ยังไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอะไรมากนักในตอนนั้น โลเคชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำดูน่าสนใจ ทั้งฉากทะเลบนดาวอื่น รวมถึงฉากหุบเขาบนดาวเคราะห์ที่คล้ายโลก ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คิดครับ โปรดักชั่นผ่าน ดูเพลิน
หลังสร้างกระแสความสนุกจนกลายเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ฮิตทาง Netflix จนได้มีซีซัน 2 ในวันนี้ สิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับ Lost in Space คือการเป็นซีรีส์ไซไฟที่มีเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้นกว่าหนังและซีรีส์เรื่องอื่นแต่อยู่ในโครงเรื่องแบบซีรีส์ผจญภัยดูสนุกควบคู่กับประเด็นดราม่าครอบครัวได้กลมกล่อมมากทีเดียว
โดยหลังจากซีซันแรกที่ได้ปูให้เรารู้จักคาแรกเตอร์ของแต่ละคนในบ้านโรบินสันรวมถึง ดร.สมิธ ที่คราวนี้ถูกปรับให้มาเป็นผู้หญิงพร้อมเพิ่มความซับซ้อนและอุปนิสัยไม่น่าไว้ใจ แน่นอนว่ามาถึงซีซันนี้ึคนดูย่อมคาดหวังจะได้เห็นการผจญภัยที่น่าตื่นตามากขึ้น ซึ่งซีรีส์ก็จัดให้แบบเต็มคราบกันไปเลย
เปิดมาตอนแรกครอบครัวโรบินสันก็เจอมหันตภัยของดาวเคราะห์ใหม่ที่พวกเขาต้องเผชิญทั้งมรสุมพิษ อากาศมรณะหนักข้อไปจนถึงต้องแปลงยานอวกาศให้กลายเป็นเรือใบแบบมิชชันอิมพอสซิเบิลเสียอีก และถ้ายังไม่รู้สึกว่ามันผจญภัยหรือน่าตื่นตาพอก็ขอบอกว่าแต่ละตอนไม่รู้ครอบครัวโรบินสันไปทำกรรมอะไรไว้ทั้ง หุ่นยนต์พิฆาต น้ำเปื้อนเคมีที่กัดกร่อนจนยานเรสโซลูตแทบพัง อีกทั้งยังต้องไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดน้อง ๆ ทีเร็กซ์อีก
เรียกได้ว่าผู้สร้างนี่แทบไม่ให้คนดูมีช่วงเบื่อเลยสักนิด จน 10 ตอนอาจจะจบลงแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว ด้านนักแสดงก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยหนุ่ม ๆ ก็น่าจะถูกใจกับสาวสวยทั้ง จูดี้ และ เพนนี หรือ สาว ๆ ก็น่าจะแบ่งทีมตาม แดดดี้ อย่าง จอห์น หรือ สายรักเด็กอย่าง วิล ที่คราวนี้นุ้ง แม็กซ์เวลล์ เจนกินส์ ก็เริ่มโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วจนน่าจะอดดูไปกรี๊ดไปไม่ได้เลยทีเดียว
เรื่องย่อ/เนื้อหา
เมื่อโลกไม่อาจอาศัยได้อีกต่อไปจึงเกิดโครงการสร้างอาณานิคม ในอวกาศ ครอบครัวโรบินสัน ได้รับเลือกให้เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้สิทธิ์ขึ้นไปใช้ชีวิตบนนั้น แต่หลังเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำให้ยาน จูปิเตอร์ของพวกเขากระเด็นไปตกยังดาวลึกลับ งานนี้ทั้ง จอห์น (โทบี สตีเฟน์) คุณพ่อทหารผู้เข้มงวดกับลูก ๆ มอรีน (มอลลี พาร์คเกอร์) คุณแม่นักวิทยาศาสตร์ จูดี้ (เทย์เลอร์ รัสเซลล์) ผู้รอบรู้ ชาญฉลาด และกล้าหาญ เพนนี (มีนา ซันด์วอลล์)
ลูกสาวคนกลางที่พร้อมลุยทุกสถานการณ์ และ วิล (แม็กซ์ เจนคินส์) ลูกชายคนเล็กที่พบมิตรภาพในตัวหุ่นยนต์สังหารต้องร่วมใจกันหาหนทางกลับสู่ เรสโซลูต ก่อนดาวดวงนี้จะถูกดวงอาทิตย์แผดเผา โดยมี ดร.สมิธ (พาร์คเกอร์ โพซีย์) ผู้มีความลับดำมืดและไม่อาจไว้ใจได้ก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างครอบครัวของพวกเขา
ความรู้สึกหลังรับชม/ความประทับใจ
สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของซีรีส์ชุดนี้นอกจากสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่าง ๆ lost in space พากย์ไทย ทั้ง หุ่นยนต์สังหาร หรือบรรดาแผ่นดินไหวและเหล่าสัตว์ประหลาดบนดาวแล้ว ก็มีความคล้ายสตาร์เทรคตรงที่ตัวละครจะแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยเน้นหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่น่าจะเป็นไปได้มาเป็นเหตุผลรองรับการกระทำ และด้วยนี่คือภารกิจเพื่อเอาชีวิตรอด หลายวิบากกรรมจึงดูใกล้ตัวและคนดูก็พร้อมเอาใจช่วย ถึงแม้บางอย่างจะดูโม้ไปหน่อยก็ตามแต่ด้วยการแสดงที่น่าเชื่อถือคนดูก็พอหยวน ๆ ไปได้บ้างล่ะนะ
ส่วนการเน้นเรื่องราวดราม่าในครอบครัว ตรงนี้ยอมรับเลยว่าเป็นดาบสองคมของซีรีส์จริง ๆ เพราะหากคนดูไม่ได้เป็นโรควิตกกังวลหลังผ่านวิกฤติหรือ PTSD แบบจูดี้ หลังติดอยู่ในน้ำแข็งนาน ๆ , รู้สึกว่าตัวเองไม่มีใครสนใจตามประสาลูกคนกลางแบบ เพนนี หรือกระทั่งเป็นเด็กอ่อนแอแบบ วิล แล้ว ก็ยากมากที่เราจะมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละคร
แต่ยังดีที่ซีรีส์ให้รายละเอียดตัวละครพ่อและแม่ได้น่าสนใจ เพราะจอห์น เองก็ไม่ได้เป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบ ติดออกคำสั่งและแทบจะไม่สามารถกลับมาสานสัมพันธ์กับลูก ๆ ได้สนิทใจหลังเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ มอรีนและจอห์น ต้องแยกทางกันก่อนเดินทางสู่ เรสโซลูต หรือแม้แต่มอรีน ที่มีปมผิดบาปในใจที่เธอต้องโกงผลให้ วิล ได้ขึ้นมาอยู่กับครอบครัว
แต่ที่รู้สึกกวนใจจริง ๆ คงหนีไม่พ้นปมบางอย่างในเรื่องที่ดูจงใจเกินไปหน่อย เช่นการใส่ ดร.สมิธ ให้เป็นตัวร้ายแบบคอยหาเรื่องมาทำให้ครอบครัว โรบินสัน แตกแยกกัน หรือที่นางพยายามแย่งหุ่นยนต์ไปจากวิล บางทีก็ดูไร้เหตุผลไปหน่อย แต่ว่าก็ว่าเถอะ พอเป็น พาร์คเกอร์ โพซีย์ มาแสดงเลยกลายเป็นว่า ตัวละคร ดร.สมิธ หรือ ชื่อจริงว่า….. (ไม่อยากสปอยล์ ไปดูกันเองนะจ๊ะ) กลายเป็นสีสันที่หาก Lost In Space ขาดเธอไปเรื่องราวคงไม่เข้มข้นขนาดนี้แน่ ๆ
รีวิว lost in space
รีวิวlost in space เดิมที Lost In Space คือซีรีส์ยอดนิยม Lost in Space Season 1 ที่ออกอากาศถึง 3 ซีซันระหว่างปี 1965-1968 จำนวน 83 ตอน สร้างสรรค์โดย เออร์วิน อัลเลน ก่อนจะได้มีโอกาสขึ้นจอใหญ่ในปี 1998 ซึ่งได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ไม่ดีนัก จนมาถึงเวอร์ชั่นปัจจุบัน เมื่อ Netflix ร่วมกับ Legendary Television นำซีรีส์ไซไฟอวกาศชุดนี้มาปัดฝุ่นใหม่ให้เข้ากับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่การเพิ่มบทบาทของตัวละครหญิง
โดยเฉพาะตัวละคร มอรีน ที่ดูจะมีบทบาทและความเป็นผู้นำมากกว่า จอห์น เสียอีก สอดคล้องกับบทบาทผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับเพศชาย รวมถึงการเปลี่ยนให้ลูกสาวคนโตอย่าง จูดี้ เป็นสาวผิวสีเพื่อเพิ่มมิติที่มาของครอบครัวโรบินสันให้ยิ่งซับซ้อน และแสดงถึงความหลากหลายด้านชาติพันธุ์อันเป็นอุดมคติของอเมริกาในยุคปัจจุบันเข้าไปได้อย่างคมคาย และทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าแค่การเป็นซีรีส์รีเมคจากผลงานดังในอดีต
ถือว่าเป็นไซไฟแนวอวกาศที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ อันหนึ่งครับ ผมเป็นคนที่ชอบดูไซไฟ โดยเฉพาะแนวอวกาศ และเรื่องนี้ดึงความสนใจผมได้ตลอดจนจบ ใครเป็นแฟนไซไฟ เป็นอีกเรื่องที่ควรดูนะครับ ถ้าเป็นไปได้ดูแบบ 4K HDR จะฟินมากกับความชัดและเอฟเฟคต่าง ๆ ไม่ผิดหวังแน่นอน
บทสรุป
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น lost in space สนุกไหม พวกเขาจะหาทางออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ได้หรือไม่ และจะหาทางกลับไปยังเรสโซลูตได้อย่างไร ต้องไปติดตามกันต่อใน NETFLIX ค่ะ ซึ่งสามารดดู NETFLIX ได้แล้วผ่านทางกล่อง TRUE ID TV ค่ะ รับรองว่าจะได้เห็นซีรีส์ไซไฟอวกาศที่สนุกมากและเห็นมิตรภาพของหุ่นยนต์กับมนุษย์
แม้ซีรีส์จะเต็มไปด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์และเรื่องราวดราม่าครอบครัวที่บางครั้งอาจสร้างความลำไยไปบ้าง แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคงเป็นด้านโปรดักชั่นที่คราวนี้คงต้องกล่าวชม Netflix ว่า ‘บ้าดีเดือดแท้ ๆ ’ ที่กล้าลงทุนมโหฬารชนิดที่ว่างานสเปเชียล เอฟเฟกต์ของซีรีส์ชุดนี้อาจดูดีกว่าหนังโรงบางเรื่องด้วยซ้ำ แต่จุดที่ Netflix ควรนำไปพิจารณาปรับปรุงจริง ๆ คือควรเลิกทำซีรีส์สนุก ๆ แค่ 10 ตอนได้แล้ว โดยรวมขอให้คะแนน 8/10 สนุกมาก