รีวิว see
หากใครเคยดูหนังจากค่าย dc มาอย่าง ซีรี่ย์แนะนำ Aquaman ก็คงจะคุ้นหน้าค่าตาของพระเอกอย่าง เจสัน โมโมอา ที่เป็นขวัญใจสาว ๆ มากมาย สปอยซีรี่ย์ สำหรับใครที่ชอบพี่แกก็สามารถรับชมซีรี่ย์เรื่อง SEE ที่สตรีมลง Apple TV+ หรือชื่อไทย สายตาแห่งอนาคต’ คือผลงาน ดูหนังออนไลน์ ซีรีส์ฟอร์มยักษ์จาก Apple TV+ Original Series ที่เรียกได้ว่า ดูหนังฟรี เป็นงานสร้างระดับเดียวกันกับ Game of Thrones เลยก็ว่าได้! แถมยังเพิ่งเปิดตัวไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยฝีมือการเขียนบทของมือฉมังอย่าง Steven Knight ที่เคยฝากผลงานอันโดดเด่นเอาไว้ในซีรีส์มาเฟียสุดเข้มข้นอย่าง Peaky Blinders ที่งานนี้มาแท็กทีมงานสร้างกับผู้กำกับฝีมือสุดจัดจ้านอย่าง Francis Lawrence จาก The Hunger Games (ทั้ง 3 ภาค) และ หนังขึ้นหิ้งระดับตำนานอย่าง I Am Legend อีกด้วย บอกเลยว่าแค่ได้เห็นรายชื่อผู้สร้างก็ชวนดูซะขนาดนี้
ชื่อซีรี่ย์ : see
ประเภท : Drama / Action / Sci-Fi
กำกับ : Francis Lawrence
เขียนบท : Steven Knight
แหล่งดู : Apple TV+
รีวิว see
รีวิว see SEE คือซีรี่ย์ฟอร์มยักษ์ 1 จาก 8 ของการเปิดตัว See Season 1 Apple TV+ ซึ่งปล่อยออกมาให้เราได้ชมกันก่อน 3 ตอน และ จะปล่อยตามมาอีกสัปดาห์ละ 1 ตอน ซีซั่นแรกมีทั้งหมด 10 ตอน “ก่อนจะไปกันไกลนี่คือซีรี่ย์ที่มีงานภาพระดับเดียวกับภาพยนตร์สเกลใหญ่มหึมาที่สุดในตอนนี้
หลังจาก Apple TV+ เปิดให้บริการ หนึ่งในซีรีส์ที่ถือว่าเป็นจุดขาย และ หัวหอกแรก ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาก็คือเรื่อง See ซึ่งรับบทโดย เจสัน โมมัว (Jason Momoa) นักแสดงชื่อดังจากบทบาทในเรื่อง Game of Throne และ Aquaman
แม้จะเป็นหนังที่พูดถึงอนาคตที่ห่างออกไปมากกว่า 500 ปี แต่หนังก็นำเสนอในมุมที่ว่าเมื่อโลกล่มสลายไปด้วยไวรัสทำลายล้างโลก ที่เหลือรอดชีวิตทั้งหมดก็ตาบอด รวมไปถึงทายาทที่เกิดมาหลังจากนี้ทุกคนก็ล้วนแต่มองไม่เห็น ทำให้วิทยาการองค์ความรู้ และ ทุกอย่างหยุดชะงัก หนังสือจึงหมดความหมาย ทุกอย่างที่เคยศิวิลัยก็ค่อย ๆ เสื่อมสลายพังทลายลง
ทุกอย่างที่เคยศิวิไลซ์ ก็เดินเข้าสู่ยุคมืดแห่งความป่าเถื่อน จากที่เคยมีอาวุธทำลายล้างร้ายแรงเหลือเพียงมีด ธนู ขวาน หอกซัดแบบง่าย ๆ เหมือนยุคอารยธรรมแจกเริ่ม การแต่งตัวก็ ง่ายเย็บด้วยหนังสัตว์หรือผ้าแบบง่าย ๆ การสื่อสารยังใช้สัญลักษณ์เช่นใช้ควันไฟ การมัดปมเชือก การส่งข่าวโดยอาศัยสัตว์ การรบกันระหว่างเผ่าเพื่อแย่งชิงแรงงานทรัพยากร
การนับถือเทพเจ้าโดยเฉพาะสุริยเทพ เทพแห่งแสงสว่าง เทพแห่งไฟ นับถือสิ่งเหนือธรรมชาติ คติความเชื่อเรื่องโชคลางการทำนาย ในหนังเรื่องนี้นำเสนอออกมาได้ดี แล้วย้อนกลับไปตั้งคำถามที่สำคัญมากว่า ถ้าหากเทคโนโลยีพัฒนาไปถึงขีดสุดแล้ว แต่เมื่อวันใดวันหนึ่งมันล่มสลายลงมนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นซีรีส์แนว “ดิสโทเปีย” หรือเรื่องแนวโลกอนาคตที่ล่มสลาย มนุษย์ต้องสร้างสังคม และ วิถีชีวิตแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งนี่เป็นพล็อตเรื่องแนวที่ได้รับความนิยมมากมานานแล้ว (เช่น Madmax, The hunger Game, หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ)
เรื่องย่อ
ว่าด้วยเรื่องราวในโลกอนาคต ซีรีส์มีการเกริ่นนำเรื่องที่น่าสนใจว่าด้วยหลังจากเหตุการณ์ไวรัสฆ่าชีวิตแพร่ระบาดในศตวรรษที่ 21 ประชากรมนุษย์โลกมีจำนวนลดลงเหลือไม่ถึง 2 ล้านคน มนุษย์ที่รอดชีวิตต้องสูญเสียการมองเห็น หลายศตวรรษต่อมาการมองเห็นเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน
กระทั่งการเอ่ยถึงถือเป็นเรื่องนอกรีต แต่ในเผ่าหนึ่งแม่คนหนึ่งดันให้กำเนิดเด็กทารกที่มองเห็นได้ถึงสองคน เป็นที่ต้องการของราชินีผู้โหดร้าย ดังนั้น Baba Voss (Jason Momoa) ต้องปกป้องลูกของเขา และ เผ่าของเขาจากนักล่าแม่มดที่ราชินีส่งมา
ความรู้สึกหลังรับชม
เนื่องจากมนุษย์สูญเสียคุณสมบัติ See Season 3 ด้านการมองเห็นไปแต่หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างทดแทน เช่นบางคนมีสัมผัสที่ 6 บางคนมีประสาทการรับรู้ด้วยจมูกดีมาก มากขนาดที่ว่า รับกลิ่นไปได้ไกลถึงหลายกิโลและ สามารถแยกแยะกลิ่นที่ได้สัมผัสว่ามีกลิ่นของอะไรบ้าง
บางคนมีสัมผัสการได้ยินที่ดีมาก ได้ยินไปด้วยไกลหลายกิโล และ แยกแยะเสียงที่ได้ยินว่าเป็นเสียงของอะไร บางคนมีสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด สัญชาตญาณของนักฆ่า ซึ่งผมมองว่า ไอเดียที่ทำให้มนุษย์ตาบอดนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะสามารถเล่นอะไรได้หลายอย่าง แต่ละอย่างที่นำเสนอออกมาผมถือว่าดี
แต่เรื่องนี้ก็มีจุดด้อย และ ช่องโหว่เพียบครับ หลังจากผ่านไป 3 ตอนล่าสุด เรียกว่าถ้าคนชอบเรื่องแนวดิสโทเปีย จะรู้สึกว่า เจอเพียบเลย ไม่ว่าจะเป็น การกระทำของตัวละครที่ในเรื่องก็ยังไม่ยอมอธิบายสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันที่ชัดเจน รวมถึงพฤติกรรมประหลาด ๆ ของเหล่าตัวละครในเรื่อง
ซึ่งตรงนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า มันคือการปรับตัวให้อยู่รอด จากการที่มนุษย์ไม่สามารถใช้สายตามองเห็นได้ เรื่องยังมีความพยายามจินตนาการว่า ถ้าคนเราเสียการมองเห็น จะมีใครสามารถใช้ความได้เปรียบเหล่านี้ได้บ้าง หรือมีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง
ซึ่งก็ถือว่าเป็นไอเดียประหลาด ๆ ที่น่าสนใจดีครับ เช่น มนุษย์เงา ที่มีความสามารถในการสะกดรอยคนอื่นหรือเข้ามาอยู่ในระยะประชิดได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ไปจนถึงอาวุธบางประเภทที่หากใครสามารถใช้งานได้ดี ก็แทบจะไร้เทียมทานไปเลยก็มี
อีกจุดหนึ่งที่ซีรีส์นำมายำ “อย่างเมามันส์” ก็คือองค์ประกอบของ “ไอ้บอดซามูไร” ซึ่งจะเป็นยังไง อยากให้ทุกท่านได้ลองดูกันครับ
ส่วนในแง่ของโปรดักชั่น ดูแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงใช้ทุนสร้างแต่ละตอนมหาศาล แต่ละฉากใช้มุมกล้อง และ การออกแบบ การดีไซน์ การถ่ายทำที่พยายามโชว์บรรยากาศของโลกอนาคตที่ล่มสลายได้เสมือนกับดูภาพยนตร์ในโรง
รีวิว see
รีวิว see หนังได้แสดงให้เห็นว่าแม้ See Netflix คนที่มีประสาทตาดีมองเห็นได้ทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่เขามีนั้น กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถสู้สัญชาตญาณของการมองไม่เห็นได้ เพราะ เมื่อไหร่ที่ไม่มีแสงคนที่ตาดีก็แทบจะไม่มีความหมาย และคุณค่าอะไรเลย หนังแสดงในปรัชญาที่สูงมากว่า “แม้จะมองเห็นแต่ก็มืดบอด”ได้
อีกปรัชญาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ในโลกที่เทคโนโลยี และ นวัตกรรมต่าง ๆ ล่มสลายไปแล้ว อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเครื่องจักรยังหลงเหลืออยู่ เครื่องจักรตัวนั้นก็จะกลายเป็นตัวแทนของเทพเจ้าไป เทพเจ้านี้สามารถทำเรื่องนี้ให้มันก็ได้ ในขณะเดียวกันก็สร้างความหายนะให้มนุษย์ได้ด้วย หนังทำให้เห็นคุณงามความดีของหนังสือ แต่หนังสือก็ยังมีมุมที่เลวร้ายทำลายล้างด้วยเช่นกัน ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ก็น้อยลงเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็ตาม Series มีอยู่ด้วยกัน 8 ตอนตอนละประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ทำให้มีการดำเนินเรื่องที่มีจุดน่าเบื่ออยู่หลายจุด บางจุดค่อนข้างช้า และ อืดอาด ถ้าไม่มีสาย Action ที่นาน ๆ จะมีสักทีนึงมาช่วยรับรองว่าดูไปหลับไปได้เลย
บทสรุป
‘SEE สายตาแห่งอนาคต’ จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ I see โลกอนาคตแนวดิสโทเปียที่ค่อนข้างสนุกตื่นเต้น เนื้อหาเข้มข้นปนระทึกขวัญเล็กน้อย และ มีสไตล์ความเป็นตัวเองสูงชนิดที่ว่าถ้าใครจะหยิบเอาไปเปรียบเทียบกับซีรีส์ดังแห่งยุคอย่าง Game of Thrones ก็ต้องพูดตามตรงว่าแม้จะมีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ดูคล้ายกัน แต่ที่เหลือนั้นมันแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยจ้ะ!
เพราะฉะนั้นสำหรับแฟน ๆ ซีรีส์แนวชิงบัลลังก์ก็คงจะมีทั้งคนที่ชอบ และพร้อมจะเปิดรับซีรีส์เรื่องนี้เข้ามาอยู่ในอ้อมใจได้ง่าย ๆ และ ถ้าใครเกิดไม่ชอบขึ้นมาก็คงจะพาลเกลียดมันไปเลยก็ได้นะ ถ้าถามผมแบบส่วนตัวผมดูต่อ และ คิดว่ามันสนุกในอีกแบบหนึ่งสิ่งที่ดูดให้ผมติดเลยก็คืองานสร้างมันใหญ่อลังการสมจริงคือแม่งใหญ่ละเอียดภาพสวยทุกภาพงานแทบไม่มีหลุดเลยจริง ๆ